ตำนานเกาะคำชะโนด

สำหรับพื้นที่คำชะโนดได้เป็นดินแดนที่เพื่อนๆหลายๆคนได้พูดถึงก็จะต้องคิดถึงเรื่องราวที่สุดลี้ลับเกี่ยวกับพญานาคด้วย ตำนานเกาะคำชะโนด และความเชื่อที่ว่ากันว่าเกาะคำชะโนดแห่งนี้ไม่เคยจมน้ำเพราะว่ามีพญานาคที่คอยปกปักรักษาเอาไว้นั่นเอง

ซึ่งป่าคำชะโนดหรือว่า วัดศิริสุทโธ

ได้ตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านดุงจังหวัดอุดรธานีได้มีลักษณะคล้ายเหมือนกับมีเกาะตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวตรงกลางทุ่งอีกทั้งยังมีน้ำมาล้อมรอบมีเนื้อที่ประมาณ20กว่าไร่มีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่าต้นชะโนดได้ขึ้นปกคุมอยู่เต็มไปหมดเลย เมื่อทุกคนได้เดินทางเข้าไปยังคำชะโนดจะรู้สึกเย็นเหมือนบรรยายน่าหนาวยังก็ไม่รู้โดยคนโบราณแถวนั้นเขาได้เชื่อกันว่าพื้นที่เกาะคำชะโนดแห่งนี้ได้เป็นเกาะที่ลอยน้ำที่ไม่มีวันได้จมน้ำ

ดังนั้นหากย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2519

เคยเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่ราบลุ่มบริเวณแม่น้ำโขงและยังรวมไปถึงบริเวณพื้นที่ในอำเภอบ้านดุงเช่นเดียวกันแต่มันก็ได้เกิดเรื่องที่มหัศจรรย์เกิดขึ้นเพราะว่าในเหตุการณ์ที่มีน้ำท่วมครั้งใหญ่ในครั้งนั้นกลับไม่ได้ส่งผลต่อเกาะคำชะโนดแต่อย่างใด

นอกจากนี้ชาวบ้านที่ได้อาศัยอยู่บริเวณนั้นต่างก็ได้เชื่อกันว่าสาเหตุที่น้ำทำไมมันถึงไม่ท่วมเกาะคำชะโนดแห่งนี้นั่นมันก็อาจจะเป็นเพราะว่าพื้นที่บริเวณเกาะแห่งนี้ได้มีพญานาคคอยรักษาเอาไว้อยู่เพราะว่าบนพื้นที่ของเกาะคำชะโนดนั้นจะมีศาลที่เอาไว้บุชาพยานาคอยู่สองท่านได้ช่วยกันร่ายมนต์ช่วยคุ้มครองพื้นที่เกาะแห่งนี้เอาไว้

โดยทำใหพื้นที่เกาะแห่งนี้ยังสามารถลอยอยู่เหนือผืนน้ำได้หากแม้ว่าพื้นบริเวณโดยรอบจะถูกน้ำท่วมไปหมดแล้วก็ตามและในอดีตพื้นที่ป่าคำชะโนดแห่งนี้ได้เป็นเกาะที่ไม่เคยมีสิ่งปลูกสร้างใดๆเลยนอกเหนือจากศาลปู่เจ้าศรีสุทโธที่ได้ปลูกสร้างเอาไว้เป็นเพียงศาลขนาดเล็กๆเพื่อเอาไว้ให้ชาวบ้านได้กราบไหว้เพียงเท่านั้น

เนื่องจากนี้ชาวบ้านในสมัยก่อนก็ได้เรียกพื้นที่เกาะแห่งนี้ว่าเกาะลอยน้ำและด้วยเรื่องราวที่สุดมหัศจรรย์เหล่งนี้เองได้ทำให้เหล่านักวิชาการหลายท่านหลายคนก็พยายามที่จะเข้าไปทำการศึกษาประวัติและได้ทำการสืบค้นข้อมูลต่างๆเพื่อที่จะได้ทำการไขปริศนาว่าทำไมพื้นที่เกาะขนาดเล็กแห่งนี้ถึงสามารถลอยน้ำและลอยพ้นปัญหาอุทกภัยปัญหาต่างๆได้ทุกครั้งไป

เพราะฉะนั้นแล้วหลังจากที่ได้เข้าไปทำการศึกษาโดยนักวิชาการจึงได้พบอีกว่าพื้นที่เกาะคำชะโนดแห่งนี้ได้เป็นเกาะที่มีลักษณะแปลกไปจากพืนที่เกาะอื่นๆ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  สมัคร gclub ไม่มีขั้นต่ำ

ประวัติพระกัปปเถระ

          ถ้าหากใครที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของประวัติของพระพุทธเจ้าและประวัติของสาวกของพระพุทธเจ้าเชื่อว่าจะต้องเคยได้ยินชื่อพระกัปปเถระกันมาบ้าง ประวัติพระกัปปเถระ แต่ถ้าหากใครที่ไม่ได้ศึกษาเกี่ยวกับประวัติของพระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าแล้วอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อนี้ซึ่งจริงๆแล้วพระกัปปเถระนั้นนับได้ว่าเป็นพระสงฆ์ที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งเพราะพระกัปปเถระนั้นคือหนึ่งในสาวกของพระพุทธเจ้าที่ช่วยพระพุทธเจ้าเผยแพร่พระพุทธศาสนาเรียกได้ว่าเป็นสาวกที่สำคัญคนหนึ่งของพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว

         สำหรับ ประวัติพระกัปปเถระ นั้นว่ากันว่าแต่เดิมนั้นพระกัปปเถระไม่ได้เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เริ่มต้นโดยตั้งแต่เริ่มนั้นเขาเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ซึ่งตามท่านนี้นั้นเขาได้มีการออกบวชเพื่อศึกษาธรรมเช่นเดียวกันโดยออกบวชก่อนพระพุทธเจ้าแต่ว่าพราหมณ์พาวรีนั้นเป็นนักบวชที่นับถือลัทธิพราหมณ์ไม่ได้มีการใช้หลักคำสั่งสอนเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า

       ต่อมาเมื่อเขารู้ว่าพระพุทธเจ้านั้นบรรลุเป็นพระอรหันต์จึงอยากจะรู้ว่ามันรู้จริงหรือไม่พราหมณ์พาวรีจึงได้ส่งลูกศิษย์เพื่อมาหาพระพุทธเจ้าจำนวนทั้งหมด 16 คนด้วยกันและหนึ่งในลูกศิษย์ที่ 16 คนที่ถูกส่งมานั่นก็มีพระกัปปเถระด้วยนั่นเอง สิ่งที่พระกัปปเถระจะต้องทำหลังจากเดินทางมาถึงและได้มาเจอกับพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องมีการถามคำถามทั้งหมด 6 ข้อด้วยกันเพื่อนำคำตอบนั้นไปให้กับพราหมณ์พาวรี

      สำหรับสถานที่ที่พระกัปปเถระเดินทางมาหาพระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่  ปาสาณจดีย์  การเดินทางมาที่นี่ของพระกัปปเถระนั้นมีหัวหน้าคณะคนหนึ่งเป็นผู้นำมาซึ่งหัวหน้าคณะนั้นมีชื่อว่าอชิตมานพ  หลังจากที่พระกัปปเถระได้ฟังคำสั่งสอนรวมถึงได้มีการพูดคุยกับพระพุทธเจ้าและได้ฟังคำตอบที่พระพุทธเจ้านั้นได้ถามจากคำถาม 16 ข้อที่พระกัปปเถระนำมาถามเพื่อไปดีให้กับพระอาจารย์ของตนเองนั้น

      ปรากฏว่าพระกัปปเถระเมื่อได้ฟังเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้บรรลุธรรมและเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมากจึงได้ปวารณา ขอเข้าร่วมเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าหลังจากนั้นก็ทำการอุปสมบทบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ยึดหลักตามคำสอนของพระพุทธเจ้านับแต่นั้นเป็นต้นมาจากนี้พระกัปปเถระนั้นยังถือได้ว่าเป็นพระสงฆ์หนึ่งใน 80 พระสงฆ์ที่สำคัญที่ช่วยในเรื่องของการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้กับพระพุทธเจ้าอีกด้วย 

         นี่เป็นเพียงหนึ่งในอีกหลายร้อยหลายพันคนที่เมื่อได้ฟังคำสั่งสอนเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วก็เลื่อมใสศรัทธาและเปลี่ยนจากศาสนาที่ตัวเองนับถือมาเป็นนับถือศาสนาพุทธและยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้เกรียงไกรต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย 

 

สนับสนุนโดย.  บาคาร่า sa gaming

ตำนานมนุษย์กินคน  Sawney Bean

            มนุษย์กินคน  Sawney Bean หากพูดถึงมนุษย์กินคนย่อมมีเรื่องเล่าและตำนานซึ่งมนุษย์กินคนที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้ว่ากันว่าเป็นมนุษย์กินคนที่มีประวัติการกินคนเยอะมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้โดยบุคคลที่ถูกตั้งฉายาว่าเป็นมนุษย์กินคนที่กินคนเข้าไปเยอะมากที่สุดในโลกนั้นมีชื่อว่า Sawney Bean 

โดยผู้ชายคนนี้เป็นลูกชายของครอบครัวที่่หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างไม้ซึ่งครอบครัวนี้มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศสก็อตแลนด์   สำหรับชีวิตในวัยเด็กของ  Sawney Bean นั้นพ่อแม่ไม่ค่อยเอาใจใส่มากนักเนื่องจากมีฐานะยากจนจึงต้องพยายามหาเลี้ยงชีพและไม่ค่อยสนใจลูกของตนเอง 

          จนเมื่อ  Sawney Bean เติบโตเป็นหนุ่มเขาได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Black  มนุษย์กินคน  Sawney Bean ซึ่งหญิงสาวคนดังกล่าวนั้นก็มีชีวิตและแนวทางดำเนินชีวิตไม่ต่างกับSawney Bean เลยเมื่อคนทั้งคู่ได้แต่งงานและอยู่ด้วยกันถ้าเมืองต่างก็พากันไม่ชอบครอบครัวของSawney Bean กับ Black จนในที่สุดทั้งคู่ก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่อื่นและได้มีการไปอาศัยอยู่ในป่าโดยใช้ถ้ำแห่งหนึ่งเป็นบ้านเพื่ออยู่อาศัยซึ่งลักษณะของถ้ำแห่งนี้บริเวณหน้าปากทางเข้าถ้ำนั้นจะค่อนข้างแคบแต่เมื่อเดินทะลุเข้าไปข้างในจะเป็นของที่ใหญ่มากๆ หลังจากนั้น Sawney Beanก็อาศัยอยู่กับภรรยาของเขาที่ถ้ำแห่งนั้นนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

         แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงเท่านั้นเพราะทั้งคู่ไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรดังนั้นจึงใช้วิธีการดักปล้นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปเที่ยวในป่าฆ่าทิ้งและนำทรัพย์สินรวมถึงอาหารของนักท่องเที่ยวมากินมาใช้อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ไปนานๆสองสามีภรรยาก็มีลูกด้วยกันทำให้การปล้นและฆ่านักท่องเที่ยวนั้นไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตในที่สุดSawney Bean ก็ได้ตัดสินใจนำศพของนักท่องเที่ยวที่ตนเองฆ่าตายมาแล่เนื้อแล้วนำไปประกอบอาหารและนำมาให้ภรรยาและลูกกิน

         ซึ่งทั้งภรรยาและรูปนั้นต่างก็ชื่นชอบรสชาติของเนื้อมนุษย์เป็นอย่างมากและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ทำให้ทุกครั้งที่มีการปล้นนักท่องเที่ยวและมีการฆ่านักท่องเที่ยวก็จะมีการนำศพมาหันแรกเนื้อและใช้ประกอบอาหารและนี่คือจุดเริ่มต้นของมนุษย์กินคนนั้นเอง 

       และจากการที่มีการนำที่ Sawney Beanและคนในครอบครัวฆ่าคนและนำมาเกินเยอะมากยิ่งขึ้น วิธีการกำจัดเศษซากกระดูกพวกเขาเอาชิ้นส่วนไปทิ้งในแม่น้ำและทะเล  และแม้ชาวบ้านจะเห็นโครงกระดูกของศพ แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าศพเหล่านั้น  จนในที่สุดเวลาผ่านไป 25 ปี ทำให้ชาวบ้านได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วครอบครัวของ Sawney Bean เป็นคนฆ่าคนและนำคนไปกิน จนนำมาสู่การจับกุมและสอบสวนจนสามารถกำจัดครอบครัวของ Sawney Bean ได้นั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย.  ufabet บนมือถือ

ตำนานสยองขวัญของบ้าน The  Amityville 

      บ้าน The  Amityville   คือบ้านเก่าแก่หลังหนึ่งซึ่งมีอายุมานับเป็นร้อยปีแล้วโดยบ้านแห่งนี้นั้นอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งลักษณะของตัวบ้านนั้นมีการปลูกเหมือนคล้ายกับโรงนาทรงสูงเป็นลักษณะของบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล   ความโด่งดังของบ้านหลังนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นบ้านแห่ง

         ตำนานของคนอเมริกันเลยก็ว่าได้หากพูดถึงชื่อบ้านหลังนี้แล้วเราก็แทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อเสียงของบ้านหลังนี้เลยเนื่องจากว่าบ้านหลังนี้นั้นมีการกล่าวถึงความน่ากลัวและความสืบสยองภายในบ้านเราบ้านหลังนี้เต็มไปด้วยวิญญาณผีสิงของคนในครอบครัวที่เสียชีวิตไปภายในบ้านหลังนี้ทั้งหมดรวม 6 คนนั้นเอง 

    ตามตำนานที่พูดถึง บ้าน The  Amityville  นั้น ในช่วงเริ่มแรกเดิมทีของการสร้างบ้านหลังดังกล่าวนี้  บ้านหลังนี้ไม่มีเรื่องราวน่ากลัวอะไรเลยเป็นบ้านของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่มีพ่อแม่ลูกอาศัยอยู่รวมกันแต่เราอยู่มาวันหนึ่งเรื่องราวก็เกิดขึ้นเมื่อมีลูกชายคนโตที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้อยู่ๆก็ก่อเหตุฆาตกรรมคนในครอบครัวทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือแม้แต่น้องชายทำให้ในบ้านหลังนี้นั้นมีคนเสียชีวิตรวมกันทั้งหมด 6 คนด้วยกัน

          โดยเหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อช่วงประมาณต้นปีของปีคศ 1974 และเมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุว่ามีเหตุฆาตกรรมกันภายในบ้านจึงได้รุดไปตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าวแล้วก็ไปพบศพจริงๆซึ่งแต่ละศพนั้นถูกฆ่าตายในขณะที่พวกเขานั้นยังคงนอนหลับพักผ่อนโดยที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าชีวิตของพวกเขานั้นจะถึงจบแล้วสีมือของ  ดอว์น เดอฟีโอ   ลูกชายคนโตของบ้านหลังนี้นั่นเอง 

          สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับตัวคนร้ายได้  และเขาก็ให้การว่าในระหว่างที่เขายืนอยู่นั้นเขาได้ยินเสียงคนกระซิบมาบอกให้เขานั้นฆ่าคนในครอบครัวทั้งหมดและที่สำคัญก็ยังเห็นเงาที่มีลักษณะสีดำคล้ายกับคนเดินเอาปืนมาใส่มือของเขา

    หลังจากนั้นก็บอกให้เขานั้นการคนในครอบครัวและเมื่อได้ยินคำพูดนี้เขาก็จำเหตุการณ์อะไรไม่ได้อีกเลยแต่เขาคล้ายกับได้ยินเสียงปืนดังอยู่หลายนัดมารู้สึกตัวอีกทีก็ทำให้คนในครอบครัวนั้นเสียชีวิตกันหมดแล้ว

      นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาไม่ว่าใครมาซื้อบ้านหลังนี้และย้ายเข้ามาอยู่ทุกคนจะพูดเสียงเดียวกันว่าบ้านหลังนี้มีเรื่องราวประหลาดมีเหตุการณ์ให้ชวนสยองขวัญ  นั่นก็คือบางครั้งได้ยินเสียงคนเดินไปอยู่ภายในบ้านทั้งๆที่ไม่มีใครอยู่หรือบางทีก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าหรือบางครั้งก็มีของเหลวเปื้อนบริเวณภายในห้องน้ำ

          ซึ่งของเหลวนั้นมีสีดำและยังมีกลิ่นเหม็นอีกด้วยทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะมาอาศัยในบ้านหลังดังกล่าวและนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบ้านหลังนี้ก็กลายมาเป็นตำนานของความสยองขวัญนั้นเอง         

 

ขอบคุณ.  ufabetฝ่ายบริการ   ที่ให้การสนับสนุน

ตำนานแม่น้ำกุดนางใย แม่น้ำสายสำคัญ ของจังหวัดมหาสารคาม

         ที่จังหวัดมหาสารคามนั้นจะมีแม่น้ำสายหนึ่งที่ชาวบ้านต่างก็เรียกชื่อแม่น้ำสายนี้ว่า ตำนานแม่น้ำกุดนางใย   ซึ่งแม่น้ำสายนี้มีมาตั้งแต่พุทธศักราช 2408   โดยผู้ที่สร้างแม่น้ำสายนี้ขึ้นมาก็คือเจ้าเมืองมหาสารคามองค์แรกนั่นก็คือพระเจริญราชเดชนั่นเอง

        ส่วนสาเหตุที่ทำให้มีการขุดลอกแม่น้ำสายนี้ขึ้นมานั่นก็เพราะว่าพระเจริญราชเดชต้องการให้แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำสายหลักในการดำรงชีวิตของชาวบ้านโดยจะให้ชาวบ้านนั้นได้ใช้อุปโภคบริโภค 

          และสร้างเอาไว้ใช้ยามที่ถึงช่วงฤดูแล้งไม่มีน้ำใช้ชาวบ้านก็จะได้นำน้ำนี้ไปใช้ในการลดพืชผักของตนเองนั่นเอง    อย่างไรก็ตามแม่น้ำสายนี้ถือว่ามีอายุเก่าแก่มากแล้วซึ่งปัจจุบันนี้แม่น้ำสายนี้ยังคงมีอยู่แต่น้ำในแม่น้ำนั้นหร่อยหรอลงไปมากแล้วเหลือเพียงแค่ล่องลอยในประวัติศาสตร์เท่านั้น

    ว่าที่นี่เคยเป็นแหล่งน้ำสายสำคัญสำหรับแม่น้ำสายนี้นั้นอยู่ในพื้นที่ประมาณ 2 ไร่และอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม  ที่สำคัญตรงบริเวณแม่น้ำขวดใหญ่ไหมนั้นยังมีร่องรอยประวัติศาสตร์สมัยของพระเจริญราชเดชโดยชาวบ้านเชื่อกันว่าวัตถุโบราณที่มีการสร้างเอาไว้ตรงแม่น้ำกุดนางใย  นั้นน่าจะสร้างเอาไว้ตั้งแต่สมัยที่เริ่มมีการสร้างเมืองโดยวัตถุโบราณที่ว่านี้คือเสาหงษ์ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเอาของต้นนี้นั้นไปช่วยพิทักษ์รักษาบ้านเมืองให้เกิดความสงบร่มเย็นนั่นเอง

        ส่วนตำนานที่พูดถึง ตำนานแม่น้ำกุดนางใย นั่นก็เพราะว่าในสมัยอดีตกาลนั้นมีครอบครัวหนึ่งซึ่งอยู่ด้วยกันสองคนแม่ลูกลูกชายได้แต่งงานกับหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งทั้งสามคนก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตามปกติแต่อยู่มาวันหนึ่งลูกชายต้องไปขายของเงินฝากเมืองทิ้งให้แม่ของตนเองแล้วก็ภรรยานั้นอยู่ด้วยกันสองคนในช่วงเวลากลางคืนแม่สามีเห็นว่าลูกสะใภ้นั้นเข้าห้องนอนแล้วแต่ไม่ยอมดับตะเกียงจึงตั้งใจที่จะไปบอกให้ลูกสะใภ้นั้นดับตะเกียงนอน

            แต่เมื่อกำลังจะเปิดประตูแม่สามีกลับเห็นว่าลูกสะใภ้มีท่าทีแปลกๆมีลักษณะของการสาวใยไหมออกจากปากทำให้แม่ผัวนั้นค่อนข้างที่จะหวาดกลัวจึงไปเล่าเรื่องดังกล่าวให้เพื่อนบ้านฟังและตกกลางคืนอีกวันรุ่งขึ้นก็พากันมาแอบดูแล้วพอเห็นว่าลูกสะใภ้นั้นมีการสาวใยไหมออกจากปากจริงๆจึงได้มีการเปิดประตูเข้าไปแล้วไปพูดคุยกับหญิงสาวคนดังกล่าวว่าหญิงคนนั้นเป็นภูตผีปีศาจหรือไม่พร้อมทั้งขับไล่ออกจากบ้าน

 ซึ่งหญิงสาวคนดังกล่าวนั้นเสียใจและอับอายมากจึงได้ไปกระโดดน้ำแถวบ้านหลังจากนั้นก็หายไปเมื่อสามีของหญิงสาวกลับมารู้ว่าภรรยาของตนเองและไปกระโดดน้ำก็ไปนั่งเสียใจอยู่ตรงบริเวณริมแม่น้ำนั้นทุกวันซึ่งมันนานทีเขาก็จะมองเห็นว่าภรรยาของเขานั้นมีเงาอยู่ในน้ำและกำลังนั่งชักใยออกจากปากตนเองซึ่งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชาวบ้านร่ำลือกันและมีการตั้งชื่อแม่น้ำสายนี้ว่าแม่น้ำกุดนางใยนั่นเอง 

 

สนับสนุนโดย   www.ufabet.com ลิ้งเข้าระบบ

การฉลองวันตรุษจีนที่ถูกต้อง

             สำหรับ การฉลองตรุษจีน ในประเทศไทยนั้นจะนิยมจัดการ เฉลิมฉลองเพียงแค่ 3 วันเท่านั้นโดยในวันแรกนั้น จะเป็นวันที่เรียกว่ามันซื้อซึ่งในวันนี้จะเป็นวันที่เราไปหาแม่บ้านทั้งหลายจะต้องออกมาตลาดเพื่อซื้อของเซ่นไหว้ไม่ว่าจะเป็นหมูเห็ดเป็ดไก่หรือแม้แต่ผลไม้ต่างๆรวมถึงสิ่งของที่จะใช้นำไปประกอบอาหารที่จะนำมาเซ่นไหว้ในช่วงเทศกาลวันตรุษจีนเป็นวันที่ 2 นั้นจะเป็นวันไหว้

         ซึ่งวันนี้จะเป็นการที่นำของที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวานนำมาไว้ถวายเทพเจ้าโดยจะมีการนำเนื้อสัตว์และผลไม้รวมถึงอาหารต่างๆมาเส้นไหว้เทพเจ้าตั้งแต่เช้าหลังจากนั้นวันที่ 3 จะเป็นช่วงของเทศกาลวันตรุษจีนซึ่งวันนี้จะเป็นวันที่ทุกคนจะต้องพักผ่อนเดินทางไปท่องเที่ยวและไม่ทำงาน  ซึ่งในทุกๆปีสำหรับคนไทยเชื้อสายจีนหรือว่าคนจีนที่อยู่ในประเทศไทยก็มักจะจัดการเฉลิมฉลองกันโดยกำหนดการในเทศกาลวันตรุษจีนในประเทศไทยนั้นก็จะมีเพียงแค่ 3 วันนี้เท่านั้น

        แต่สำหรับในประเทศจีนแล้ว การฉลองวันตรุษจีน นั้นนับว่าเป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากดังนั้นประเทศจีนจะมีการหยุดในช่วงเทศกาลตรุษจีนและมีการเฉลิมฉลองกันทั้งสิ้นทั้งหมด 15 วันด้วยกัน  เรามาดูกันว่าในแต่ละวันนั้นคนจีนนิยมทำอะไรกันบ้าง

          สำหรับในวันแรกนั้นคนจีนมองว่าเป็นวันเริ่มต้นของวันใหม่หรือวันเริ่มต้นของปีใหม่ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่ทุกคนนั้นต่างก็จะต้องมีการบำเพ็ญสิจน์ด้วยการที่จะไม่กินเนื้อสัตว์จะกินแค่ผักและผลไม้เท่านั้นซึ่งวันนี้คนจีนเชื่อว่าจะเป็นวันที่เหล่าบรรดาเทวดาทั้งหลายจะมายังโลกดังนั้นจึงต้องมีการทำร่างกายและจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์นั่นเอง 

        วันที่ 4 เป็นวันสำหรับกราบไหว้บรรพบุรุษเทวดาทั้งหลาย  ส่วนวันที่ 3 และวันที่ 4 นั้นก็จะเป็นการที่บรรดาลูกหลานจะกลับบ้านเพื่อไปกราบไหว้ปู่ย่าตายายของตนเองหรือถ้าหากบ้านไหนมีลูกเขยก็จะมีการพาลูกเขยเข้าบ้านเพื่อไปกราบไหว้บรรพบุรุษและคนในครอบครัว  ส่วนวันที่ 5 นั้นทุกคนจะไม่เดินทางไปไหนแต่จะรวมตัวกันอยู่ที่บ้านเลยคนจีนเชื่อวันนี้เทพเจ้าแห่งความร่ำรวยจะมาเยือนที่บ้านดังนั้นทุกคนจะต้องรวมตัวกันอยู่ที่บ้านเพื่อรับเทพเจ้า   

         พอต่อมาวันที่ 6 ก็จะเป็นการที่ทุกคนจะออกจากบ้านเพื่อไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องหรือไปทำบุญที่วัดเพื่อทำการสวดมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับตนเองและครอบครัวส่วนวันที่ 7 นั้นก็จะเป็นการเฉลิมฉลองด้วยการนำผลิตผลของชาวเกษตรกรออกมาทำอาหารรับประทานเช่นการกินหมี่ซั่วซึ่งแผนที่ทำอะไรกินนั้นก็จะมีความหมายดีๆเข้ามาอย่างเช่นถ้ากินปลาดิบก็หมายถึงว่าจะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จหรือถ้าหากกินหมี่ซั่วก็จะทำให้ชีวิตอย่างนั้นเอง 

          สำหรับวันที่ 8 จะมีการรวมตัวกันของคนในครอบครัวเพื่อสวดมนต์ขอพรจากเทพเจ้าโดยในวันนี้จะเป็นการขอพรเทพเจ้าเทียนกงโดยจะมีการขอพรในช่วงเวลาเที่ยงคืนและพอวันที่ 9 ก็จะเป็นการสวดมนต์ขอพรกับเซียนฮ่องเต้  หลังจากนั้นวันที่ 10 ถึงวันที่ 12 ก็จะเป็นการเชิญบรรดาญาติพี่น้องและเพื่อนๆให้มากินอาหารที่บ้านเหมือนกับเป็นการรวมตัวกันส่วนวันที่ 13 นั้นก็จะเป็นการกินอาหารกันธรรมดาของคนในครอบครัวแต่วันนี้จะมีอาหารชนิดหนึ่งถูกนำมาตั้งโต๊ะด้วยนั่นก็คือผักดองกิมจิโดยมีความเชื่อว่าหากกินดองกิมจิในวันที่ 3 จะเป็นวิธีการชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง

          รอวันที่ 14 ก็จะมีการจัดการเฉลิมฉลองโดยมีการตกแต่งบ้านด้วยโคมไฟสีแดงและ เมื่อถึงวันที่ 15 ก็จะเป็นการเริ่มเทศกาลวันตรุษจีนเป็นการเฉลิมฉลองในเทศกาลนี้นั่นเอง 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    sa casino ฟรี300

ตำนานTom and Jerryที่น่ากลัวได้ถูกตัดออกไม่ให้ฉาย

ซึ่งตรงนี้ต้องขอบอกก่อนเลยว่าค่อนข้างน่ากลัวมากและเราก็ได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้มาเป็นที่เรียบร้อยแล้วตรงนี้เราอยากจะให้ทุกคนใช้วิจารณญาณในการอ่านให้ดีๆและอยากให้คุณลองนึกภาพTom and Jerryที่เราเคยดูกันมาหรือดูอยู่ในยุคปัจจุบันและ

โดยให้คุณนั้นได้ลองเปรียบเทียบกันดูว่าเนื้อหาตอนที่เรารวบรวมในตอนTom Basementมันน่ากลัวและมันแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนโดยข้อมูลของตอนนี้เขาได้บอกเอาไว้ว่าเปิดฉากมาตอนแรกก็ดูปกติ Tomที่เป็นแมวก็ได้อยู่กับเจ้าของบ้านในบ้าน

ซึ่งภาพตอนนั้น Tomเขาได้นอนอยู่หน้าประตูทางลงไปชั้นใต้ดินโดยตอนนั้นอยู่ๆทางเจ้าของบ้านก็ได้เดินมาเหยียบหาง Tomอย่างแรงจนทำให้ Tomร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดว่ากันว่าภาพในการ์ตูนตอนนั้นสมจริงมากเหมือนความเจ็บปวดของ Tomนั้นเป็นความเจ็บปวดจริงๆที่เกิดจากการถูกเหยียบหางเลย

นอกจากนี้เจ้าของบ้านก็ได้หยิบเจ้า Tomขึ้นมาพร้อมพูดใส่กบเจ้า Tomด้วยอารมณ์โมโหว่าอย่าได้ลงไปชั้นใต้ดินเป็นอันขาดซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เจ้า Tomนั้นได้งงอยู่ว่าทำไมต้องห้ามและในตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าจะลงไปอยู่แล้วทำไมจะต้องมาโมโหใส่เขาอะไรขนาดนั้นเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรแล้วก็นอนต่อไป

เนื่องจากนี้ภาพก็ได้ตัดมาที่เจ้าหนูJerryที่กำลังออกมาจากรูข้างผนังด้วยใบหน้าที่ปกติยิ้มแย้มไม่มีอะไรมากมายก็ได้มองไปเห็นเจ้าTomที่กำลังนอนอยู่แต่ในตอนนี้หลังจากที่Jerryเขาได้ออกมาจากรูข้างกำแพงนั้นอยู่ๆหน้าที่ดูใสๆไม่ได้มีอะไรกับเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวและน่าขนลุกมาก

ดังนั้นแล้วในรอยยิ้มของเจ้าJerryทำให้คนดูหลายๆคนถึงขนาดที่ว่าเป็นภาพสยองเป็นภาพติดตาไปตามๆกันเลยและหลังจากที่Jerryเขาได้ยิ้มแบบนั้นออกไปแล้วเขาก็ได้บุกเขาไปแกล้งTomจนทำให้Tomนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงสามครั้งด้วยกัน

ซึ่งในครั้งแรกกับครั้งที่สองก็ดูเหมือนกับว่าจะเป็นการแกล้งปกติกันทั่วไปไม่ได้มีอะไรแล้วก็เป็นอะไรที่สนุกทั่วไปแต่พอครังที่สามTomกลับดูเหนื่อยล้าแล้วดูเจ็บป่วยจากที่Jerryเขาแกล้งอยู่ตลอดเวลามากโดยภาพการถูกแกล้งในครั้งที่สามของTomจบด้วยการที่ว่าJerryได้โยนTomลงไปสู่ชั้นใต้ดินแล้วสุดท้านTomก็โดนเจาของบ้านโมโหลงตามเข้าไปที่ชั้นใต้ดินแล้วจากนั้นก็ได้ทำการโยนTomออกจากบ้านไปนั่นเอง

 

ขอบคุณผู้สนับสนุนเรื่องราวโดย.    Ufabet เข้าสู่ระบบ

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น 

วิถีชีวิตของผู้คนไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามนำเกิดมาสู่วัฒนธรรมในการใช้ชีวิตในรูปแบบที่ค่อนข้างแตกต่างกัน สภาพแวดล้อมชนเผ่าต่างๆคือชนเผ่าพื้นเมืองรวมไปถึงสถานที่ที่แตกต่างกันจะมีลักษณะเด่นๆนั่นคือวัฒนธรรมในการใช้ชีวิต ความเชื่อของท้องถิ่นตลอดจนไปถึง รูปแบบในการทำงานศิลปะต่างๆที่มีการพัฒนาและมีการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย

ผู้คนแต่ละยุคแต่สมัยก็มีลักษณะในการทำงานที่ค่อนข้างแตกต่างกันหมายถึงว่าผู้คนตั้งแต่กำเนิดขึ้นมาก็จะมีลักษณะหรือความเชื่อที่ถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ผู้คนเหล่านั้นเป็นการสร้างลักษณะที่ค่อนข้างสำคัญอย่างยิ่ง จึงทำให้ลองพูดคนขึ้นมานักพัฒนางานศิลปะต่างๆหรือกิจกรรมต่างๆก็มีแนวคิดหรือโครงสร้างต่างๆที่ค่อนข้างแตกต่างกันในการดูดซับเรื่องราวทางความเชื่อความคิดต่างๆของผู้คนที่อยู่รายล้อมรอบตัวเอง

นำมารวมกับจินตนาการหรือความเชื่อของตัวเองเพื่อพัฒนางานศิลปะรูปแบบใหม่ๆโดยผ่านการสร้างสรรค์เป็นรูปแบบมากมายไม่ว่าจะเป็นการพัฒนารูปภาพประติมากรรมต่างๆ งานปั้น งานแกะสลัก ตลอดจนไปถึงการวาดรูประบายสีและยังมีอื่นๆอีกมากมายที่ในยุคปัจจุบันก็ยังมีรูปแบบการแสดงศิลปะเหล่านี้มากมายแสดงให้เห็นถึงว่ามนุษย์มีการพัฒนาทางความคิดหรือการเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนาอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตามนี้จึงเป็นบทบาทที่สำคัญที่วัฒนธรรมต่างๆจะถูกพัฒนาเพื่อหลอมรวมกับคุณภาพชีวิตของผู้คนในยุคสมัยต่างๆความแตกต่างกันของการนำเสนอผลงานต่างๆที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมท้องถิ่นต่างๆเหล่านี้ก็มีลักษณะที่ค่อนข้างต่างกันยกตัวอย่างเช่นในแต่ละท้องถิ่นก็จะมีสถานที่ที่จะแสดงวัฒนธรรมและศิลปะท้องถิ่นเป็นการนำเสนอว่าสถานที่นั้นมีความเชื่อไปในทิศทางใด

นี่เป็นเหตุว่าผู้คนมีความจำเป็นจะต้องมีการปรับไม่ว่าจะเป็นรูปแบบทางความคิดในการนำเสนอผลงานหรือแม้แต่จะเป็นแนวคิดต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนำมาสู่ว่าผู้คนให้ความสนใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่มีความแตกต่างกันหรือไม่เช่นการเปลี่ยนแปลงซึ่งรูปแบบที่ค่อนข้างแตกต่างกันออกไป

ในยุคปัจจุบันที่โครงสร้างการพัฒนาการทำงานต่างๆของท้องถิ่นต่างๆมีความต้องการในการบันทึกจดจำประวัติศาสตร์หรือกิจกรรมของผู้คนในยุคที่มีความแตกต่างกันนี้ส่งผลให้ในยุคปัจจุบันเราสามารถพบเห็นรูปแบบในการนำเสนอผลงานดังกล่าวหรือไม่จะเป็นโครงสร้างการพัฒนาความคิดต่างๆของผู้คนในยุคต่างๆเหล่านั้นที่มีการพัฒนาและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโครงสร้างที่นำไปสู่ประวัติศาสตร์ในรูปแบบต่างๆ

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือคุณภาพชีวิตของผู้คนที่มีลักษณะที่ค่อนข้างแตกต่างกันจึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนำมาสู่การพัฒนาโครงสร้างใหม่ๆและสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเวลาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างและลักษณะในการทำงาน 

 

สนับสนุนโดย.   ทางเข้า UFABET ภาษาไทย

งูยักษ์Titanoboaยังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่

นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์เขาเลยได้ตีความไปว่าTitanoboaหรืองูยักษ์ตัวนี้น่าจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีความยาวและขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่โลกถือกำเนิดมาเลยก็ว่าได้และจากประวัติที่เราได้ไปหามาเพิ่มเติมเกี่ยวกับงูยักษ์Titanoboaตรงนี้

ซึ่งเราอยากจะบอกว่าในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันได้มีการค้นพบซากฟอสซิลหลากหลายเยอะแยะมากมายแต่ฟอสซิลชนิดแรกที่ถูกค้นพบจะถูกค้นพบในเหมืองถ่านหินเก่าที่ประเทศลิเบียจากข้อมูลคือในตอนแรกเขาคิดว่าเจ้าสิ่งนี้มันเป็นเพียงก้อนหินที่มีความเก่าแก่และโบราณ

ดังนั้นหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยเขาได้นำเอาหินตรงนี้เอาไปตรวจสอบปรากฏว่ามันไม่ใช่หินธรรมดาแต่มันคือซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตยุคโบราณที่เป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีรูปร่างและสปีชีส์คล้ายๆกับงูที่อยู่ในยุคปัจจุบันแต่มีขนาดใหญ่กว่างูในยุคปัจจุบันกว่า10-20เท่าเลย

เนื่องจากนี้ซากฟอสซิลที่ได้มีการค้นพบเขาคาดกันว่าน่าจะเป้นงูยักษ์Titanoboaที่มีความยาวประมาณ12.8เมตรและมีน้ำหนักประมาณ1,135กิโลกรัม

ถ้าหากถามว่าขนาด12.8เมตรและน้ำหนักกว่า1,135กิโลกรัมถ้าเทียบให้เห็นภาพง่ายๆจะเทียบกับอะไรแต่ถ้าจะเอาความยาวยกตัวอย่างรถเมล์ในยุคปัจจุบันเราจะมีความยาวอยู่ประมาณ9-10เมตร

เพราะฉะนั้นแล้วรถเมล์หนึ่งคันก็เปรียบเทียบได้กับTitanoboaถึงหนึ่งตัวหรือถ้างูนยักษ์Titanoboaได้เจริญเติบโตถึงขั้นสูงสุดอาจจะมีความยาวถึง20เมตรก็อาจจะเปรียบได้กับรถเมล์ประมาณ2คันรถได้เลย

ซึ่งตรงนี้เราเชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะตั้งคำถามขึ้นมาอยู่ภายในใจแล้วว่าทำไมงูในปัจจุบันเราในอดีตถึงได้มีขนาดใหญ่แบบนั้นถ้าจะเอาตามข้อมูลที่เราได้หามาได้เขาได้มีการคาดการณ์กันว่าเนื่องจากสภาพอากาศสมัยยุคที่เขาอยู่หรือว่ายุคPALEOCENEเมื่อประมาณ60ล้านปีแล้วมันเป็นยุคที่มีสภาพความเป็นอยู่ค่อนข้างที่จะอบอุ่นมากๆ

นอกจกนี้ในความสมบูรณ์ต่างๆมันเลยทำให้งูเหล่านี้ได้เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างผิดปกติและจะบอกว่ามันไม่ใช่แค่เพียงงูแต่สัตว์เลื้อยคลานสมัยPALEOCENEนั้นมีขนาดตัวที่ใหญ่หมดเลยไม่ว่าจะเป็นทั้งเต่าจรเข้หรือสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆตรงนี้เขาคาดการณ์กันว่าเต่าในยุคนั้นอาจจะมีความใหญ่และความยาวเท่ากับรถยนต์ในยุคปัจจุบันของเราและจรเข้อาจจะมีความยาวถึง7เมตรเลยก็ว่าได้

ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีและก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเพราะว่าในยุคปัจจุบันนี้อย่างที่บอกไปคืองูยักษ์Titanoboaเขาได้สูญพันไปแล้วกว่า60ล้านปีและสาเหตุที่ได้สูญพันไปเขาคาดการณ์กันว่าในยุคท้ายๆของPALEOCENEมันเป็นยุคที่โลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันจากอุณหภูมิของโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

 

สนับสนุนโดย.   ทางเข้า ufabet ภาษาไทย

อียิปต์สมัยก่อนทำไมถึงได้บูชาแมว

สมัยโบราณในความเชื่อของอียิปต์รวมไปถึงมีความเชื่อว่า บาสเตต เป็นดวงตาแห่งมหาเทพราซึ่งเป็นแบบสุริยเทพเป็นเทพที่สำคัญมากๆของอียิปต์

ดังนั้น บาสเตตได้รับความนิยมมากๆถึงขนาดที่ว่าทุกบ้านก็จะบูชา บาสเตต กันรวมถึงจะมีพิธีบูชา บาสเตต กันแบบยิ่งใหญ่ปิดเมืองบูชากันเลยถามว่าทั้งหมดนี่มันส่งผลอะไรก็ส่งผลทำให้แมวกลายเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของอียิปต์ถึงขนาดที่ว่าในบางยุคสมัยมีกฎหมายที่ว่าถ้าสมมุติว่าใครฆ่าแมวมีความผิดถึงขั้นประหารชีวิตเลยทีเดียว

ซึ่งก็แปลว่าถ้าหากว่าแมวตาย คุณก็ต้องตายตามแมวไปด้วยและถ้าหากสมมุติว่าเกิดเลี้ยงแมวเอาไว้แล้วและแมวเกิดตายตามธรรมชาติจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องบอกว่าคนในบ้านนั้นๆก็จะเสียใจมากๆที่แมวตายถึงขนาดที่ว่าจะต้องดกขนคิ้วตัวเองทิ้ง

นอกจากนี้ก็ยังมีการทำมัมมี่แมวขึ้นมาอีกคือประมาณว่าแมวตายแล้วก็ต้องเอาแมวไปทำมัมมี่เหมือนกับมนุษย์เลยทีเดียวมีความเชื่อเรื่องหลังความตายของแมวอะไรต่าวๆและเท่านั้นยังไม่พอบางครั้งมัมมี่แมวก็ถือว่าเป็นของบูชาเทพี บาสเตต ด้วย

เรียกได้ว่ามีการค้นพบแหล่งโบราณคดีของเทพี บาสเตต แล้วเขาก็ค้นพบว่าในนั้นมีมัมมี่แมวอยู่ถึง900ตัวเลยทีเดียวก็เท่าที่เจอไม่นับที่ไม่เจอ

ดังนั้นต้องบอกว่าการบูชาแมวกว้างขวางมากจริงๆแล้วถามว่าทั้งหมดนี้ส่งผลอะไรต่อชนชาติอียิปต์ส่งผลอะไรต่ออารยธรรมอียิปต์ทำไมอียิปต์ถึงได้บูชาแมวจนกระทั่งแบบว่าโดนตีแตกล่มสลายไปแบบที่บอกอันนี้ก็คือเรื่องรวาในประวัติศาสตร์จริงๆไม่ใช่ดราม่าระดับเทพกัน

ซึ่งก็ได้มันักปราชญ์ชาว มาซิโดเนียบันทึกเอาไว้และจะบอกว่ามันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตามประวัติศาสตร์จริงๆก็กึ่งๆประมาณว่าเป็นเรื่องที่มันไม่ใช่เทพนิยายแต่เป็นเรื่องที่ได้ถูกบันทึกว่าเกิดในประวัติศาสตร์จริงๆแต่ว่ามันก็เป็นเรื่องราวตามที่คนบันทึกและคนที่ได้บันทึกจะบันทึกถูกหรือผิดนั่นก็อีกเรื่องหนึ่งก็ถือว่ามันเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นทุติยภูมิไม่ใช่ปฐมภูมิ

นอกจากนี้เขาได้บันทึกเหตุการณ์อะไรไว้เขาได้บันทึกเหตุการณ์ๆนึงเอาไว้เมื่อ525ปีก่อนคริสต์ศักราชตอนนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่เปอร์เซียกำลังจะพยายามที่จะมายึดอียิปต์ต้องการจะตีอียิปต์ตอนนั้นเปอร์เซียกำลังแผ่ขยายอำนาจอยู่ทีนี่ถามว่าจะไปยึดเขามันไม่ใช่อยู่ดีๆก็จะเดินเข้ามาแล้วก็รบกัน

เพราะว่ามันก็ต้องมีชุมชนหลากหลายในโลกใช่ไหมการจะเป็นทรราชลุกขึ้นมาแล้วแบบข้าจะยึดทุกคนมันก็ไม่ใช่มันจะต้องมีการหาเรื่องกันก่อน

 

สนับสนุนโดย.    ufabet